• ติดต่อสอบถาม

  • 029081349
ประเภทของโรงเรือนปลูกพืชและวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสม
4 พ.ย. 2567, 03:06

ประเภทของโรงเรือนปลูกพืชและวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสม

การปลูกพืชในโรงเรือนเป็นวิธีการเกษตรที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบัน เนื่องจากโรงเรือนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ซึ่งเหมาะสำหรับการปลูกพืชในสภาพอากาศที่แตกต่างกันหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย การเลือกโรงเรือนที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การปลูกพืชได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและคุ้มค่ามากขึ้น มาดูประเภทของโรงเรือนและการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกัน

 

1. โรงเรือนพลาสติก (Plastic Greenhouse)

ลักษณะ: โรงเรือนประเภทนี้ทำจากโครงสร้างโลหะหรือไม้ที่คลุมด้วยแผ่นพลาสติกใส ช่วยป้องกันฝนและลมได้ดีแต่ยังคงให้แสงธรรมชาติเข้าได้ เพื่อช่วยให้พืชได้รับแสงอย่างเพียงพอ

ข้อดี:

  • ราคาย่อมเยา: วัสดุหาง่ายและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างไม่สูงมาก
  • เหมาะกับสภาพอากาศร้อน: พลาสติกสามารถระบายความร้อนได้ดีในระหว่างวัน
  • ดูแลรักษาง่าย: สามารถเปลี่ยนแผ่นพลาสติกเมื่อเกิดความเสียหายได้ง่าย

ข้อจำกัด:

  • พลาสติกมีอายุการใช้งานไม่นานเมื่อเทียบกับวัสดุอื่น ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ
  • ไม่เหมาะกับพืชที่ต้องการอุณหภูมิและความชื้นควบคุมอย่างเคร่งครัด

เหมาะกับพืช: ผักสวนครัว เช่น ต้นหอม ผักกาด ผักชี หรือต้นกล้าพืชต่าง ๆ

 

2. โรงเรือนกระจก (Glass Greenhouse)

ลักษณะ: โรงเรือนกระจกมีโครงสร้างแข็งแรงคลุมด้วยแผ่นกระจกใส เป็นโรงเรือนที่นิยมใช้กันมากในประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวหรือเขตอบอุ่น

ข้อดี:

  • ทนทาน: กระจกมีความทนทานต่อสภาพอากาศสูง สามารถใช้งานได้นานหลายปี
  • แสงส่องผ่านได้ดี: กระจกช่วยให้แสงธรรมชาติเข้าถึงพืชได้มากที่สุด ทำให้พืชได้รับแสงที่เพียงพอในการสังเคราะห์แสง
  • ควบคุมอุณหภูมิได้ดี: เนื่องจากกระจกกักเก็บความร้อนได้ดี จึงเหมาะสำหรับพืชที่ต้องการอุณหภูมิอบอุ่นตลอดทั้งปี

ข้อจำกัด:

  • ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในการก่อสร้างและการซ่อมแซม
  • อาจเกิดการสะสมความร้อนมากเกินไปในฤดูร้อน ทำให้ต้องมีระบบระบายอากาศที่ดี

เหมาะกับพืช: พืชเมืองหนาว เช่น สตรอว์เบอร์รี กะหล่ำปลี และพืชไม้ดอก เช่น กุหลาบและลิลลี่

 

3. โรงเรือนไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics Greenhouse)

ลักษณะ: โรงเรือนที่ออกแบบมาสำหรับการปลูกพืชแบบไร้ดิน โดยใช้ระบบน้ำและสารอาหารในการเพาะเลี้ยงพืช พร้อมทั้งมีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ระบบการควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแสง

ข้อดี:

  • ปลูกพืชได้เร็ว: พืชสามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็วเนื่องจากได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน
  • ไม่ต้องใช้ดิน: ลดปัญหาศัตรูพืชและการปนเปื้อนจากดิน
  • ประหยัดพื้นที่: สามารถวางชั้นปลูกหลายชั้น ทำให้เพิ่มผลผลิตได้ในพื้นที่จำกัด

ข้อจำกัด:

  • ต้องลงทุนในระบบน้ำและสารอาหารที่แม่นยำ
  • ต้องการการดูแลรักษาระบบบ่อยครั้งและใช้พลังงานไฟฟ้าในการควบคุมสภาพแวดล้อม

เหมาะกับพืช: ผักสลัด เช่น กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค คอส และบัตเตอร์เฮด

 

4. โรงเรือนควบคุมอุณหภูมิ (Climate-Controlled Greenhouse)

ลักษณะ: โรงเรือนที่ใช้ระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแสงด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ เช่น การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ระบบพัดลม หรือแสงไฟสำหรับการเจริญเติบโต

ข้อดี:

  • ควบคุมสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ: ช่วยให้พืชได้รับอุณหภูมิ ความชื้น และแสงที่เหมาะสมในทุกฤดูกาล
  • ช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ: ทำให้พืชเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง

ข้อจำกัด:

  • ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและค่าไฟฟ้าสูง
  • ต้องมีความรู้และการดูแลรักษาระบบเทคโนโลยีที่ใช้ควบคุม

เหมาะกับพืช: พืชที่มีราคาสูงและต้องการสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง เช่น มะเขือเทศ เมล่อน และผักไฮโดรโปนิกส์แบบเฉพาะทาง

 

5. โรงเรือนผสม (Mixed Greenhouse)

ลักษณะ: โรงเรือนผสมเป็นการรวมระบบและลักษณะของโรงเรือนหลายประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้โครงสร้างพลาสติกผสมกับระบบควบคุมอุณหภูมิบางส่วน เพื่อประหยัดต้นทุนและยังคงควบคุมสภาพแวดล้อมได้ในระดับหนึ่ง

ข้อดี:

  • ประหยัดต้นทุน: ไม่ต้องติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิแบบเต็มรูปแบบ
  • เหมาะสำหรับการปรับใช้หลายรูปแบบ: สามารถใช้ได้กับพืชหลากหลายชนิดตามแต่สภาพแวดล้อมที่ปรับแต่งได้

ข้อจำกัด:

  • ประสิทธิภาพในการควบคุมสภาพแวดล้อมอาจไม่เทียบเท่ากับโรงเรือนที่ควบคุมอุณหภูมิเต็มรูปแบบ
  • อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลตามชนิดของพืช

เหมาะกับพืช: พืชหลายชนิดที่ต้องการสภาพแวดล้อมควบคุมในระดับปานกลาง เช่น พืชผักและไม้ดอกทั่วไป

 

วิธีเลือกใช้โรงเรือนให้เหมาะสม

การเลือกโรงเรือนที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย:

  1. ชนิดของพืช: พืชแต่ละชนิดมีความต้องการสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ควรเลือกโรงเรือนที่เหมาะสมกับพืชที่ต้องการปลูก
  2. สภาพอากาศในพื้นที่: หากอยู่ในพื้นที่ร้อน ควรเลือกโรงเรือนที่สามารถระบายอากาศได้ดี ในขณะที่พื้นที่หนาวเหมาะกับโรงเรือนกระจกหรือระบบควบคุมอุณหภูมิ
  3. งบประมาณ: โรงเรือนแต่ละประเภทมีต้นทุนต่างกัน ตั้งแต่วัสดุไปจนถึงระบบควบคุม เลือกประเภทที่เหมาะสมกับงบประมาณของคุณ
  4. ระดับการดูแล: โรงเรือนบางประเภทต้องการการดูแลและซ่อมบำรุงมากกว่า เช่น โรงเรือนควบคุมอุณหภูมิ ควรเตรียมพร้อมในการดูแลระบบต่าง ๆ
  5. ขนาดและพื้นที่ปลูก: โรงเรือนขนาดใหญ่หรือแบบไฮโดรโปนิกส์จะเหมาะสำหรับการปลูกพืชในเชิงพาณิชย์หรือมีพื้นที่จำกัดแต่ต้องการเพิ่มผลผลิต

การเลือกโรงเรือนที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มผลผลิต แต่ยังช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาโรงเรือนในระยะยาว ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้โรงเรือนประเภทใด ควรศึกษาความต้องการของพืชที่ต้องการปลูกและพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ให้ละเอียด เพื่อให้ได้โรงเรือนที่คุ้มค่าและสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด